98 จำนวนผู้เข้าชม |
อุบัติเหตุบนท้องถนนมักเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้ทรัพย์สินและร่างกายเสียหาย และปัญหาค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ตามมาด้วย โดยคนที่มีประกันรถยนต์จะใช้กรมธรรม์ที่ถืออยู่เคลมและช่วยเหลือค่าเสียหายที่เกิดขึ้นนี้ วันนี้รู้ก่อนซื้อ ขอนำเสนอวิธีเคลมประกันรถยนต์ ที่ทุกคนควรรู้ดังต่อไปนี้
ประเภทของการเคลมประกันรถยนต์มีอะไรบ้าง
1. เคลมประกันรถยนต์แบบสด คือการเคลม ณ ที่เกิดเหตุ และมีพนักงานบริษัทประกันมาตรวจสอบ ณ ที่เกิดเหตุ โดยสามารถแยกย่อยได้ 2 กรณี
1.1 แบบมีคู่กรณี คือ การเกิดอุบัติเหตุแบบรถชนกับรถ พนักงานบริษัทประกันจะตรวจสอบและพิจาราณาว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด บริษัทจะเป็นผู้จ่ายแทนลูกค้าในส่วนของค่าเสียหายส่วนแรก (ทั้ง Deductible และ Excess) ไปก่อน แล้วเรียกคืนภายใน 7 วัน
ตัวอย่าง- ลูกค้าจ่ายค่าซ่อมให้กับอู่ก่อน ทางบริษัทประกันจะทำการหักออกจากค่าซ่อมในภายหลัง เช่น ค่าซ่อม 10,000 บาท Deductible หรือ excess = 2,000 บริษัทก็จะจ่ายค่าซ่อมให้อู่ 8,000 บาท เป็นต้น
แต่ถ้าค่าเสียหายเท่ากับหรือน้อย Deductible หรือ excess ลูกค้าจ่ายค่าซ่อมกับอู่โดยตรง อู่ไม่ต้องตั้งเบิกค่าซ่อม เช่น Deductible หรือ excess 4,000 บาท ค่าซ่อมเท่ากับหรือน้อยกว่า 4,000 บาท อู่ก็ไม่ต้องตั้งเบิกกับบริษัทอีก
1.2 แบบไม่มีคู่กรณี คือ ในกรณีที่รถของผู้เอาประกันเกิดอุบัติเหตุเกิดชน เช่น ถูกรถอื่นชนแล้วหลบหนี ไม่สามารถแจ้งรายละเอียดคู่กรณีได้ แต่หากแจ้งรายละเอียดคู่กรณีได้ และมีการแจ้งความลงบันทึกประจำวันกับพนักงานสอบสวน ไม่ต้องเสียค่า Deductible หรือ excess เนื่องจากทางบริษัทประกันจะดำเนินการตามเรียกร้องเองในภายหลัง
2. เคลมประกันรถยนต์แบบแห้ง คือ การเคลมหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ไประยะหนึ่งแล้ว (ไม่เกิน 2-3 วัน) สาเหตุการเคลมมักจะเกิดจากกรณีที่เกิดการเฉี่ยวชนหรืออุบัติเหตุแบบเบาๆ โดยผู้ถือประกันต้องระบุรายละเอียดว่าเกิดอุบัติเหตุได้อย่างไร วันที่เท่าไหร่ สถานที่ไหน ชนเข้ากับอะไร แล้วจึงแจ้งเคลมกับบริษัทประกัน ซึ่งการเคลมประกันรถยนต์แบบแห้ง จะมีเพียงแค่การเคลมประกันรถยนต์ชั้น 1 เท่านั้น ที่ครอบคลุมไปถึงการเคลมรอบคัน ซึ่งเป็นการเก็บรายละเอียดร่องรอยต่างๆ รอบตัวรถให้กับคุณ ตามเงื่อนไขความคุ้มครองกรมธรรม์
เอกสารที่ต้องใช้ คือ
*เงื่อนไขบริษัทฯ จะแจ้ง และเจรจาลูกค้า กรณีเรียกเก็บค่าเสียหายส่วนแรก (excess) ก่อนที่จะมีการจัดซ่อม